Kanban มีกฎอยู่แค่ 3 ข้อ (Scrum มี 9)
- Visualize the workflow – แสดง flow การทำงานของระบบให้ออกมาให้เห็นภาพอย่างชัดเจน สามารถบอกได้ว่าขณะนี้งานไปติดขัดที่จุดไหน อย่างไรให้ชัดเจน
- Limit Work In Progress (WIP) – จุดหลักของ Kanban เลยคือการ limit งานต่อหนึ่งหน่วยย่อย เช่นงานสำหรับ Development ห้ามถือเกิน 2 งานเพื่อป้องกันไม่ให้งาน Overload มากเกินไป และจะทำให้สูญเสียเวลาไปมากกว่าที่ควรจะเป็น
- Measure the lead time – วัดผลการทำงานและปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ตรงนี้จะเรียกว่า Cycle time หรือค่าเฉลี่ยที่ Card 1 อันจะอยู่บนบอร์ดตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงขึ้นบน production จริง
ข้อดีของ Kanban
- เหมาะกับการทำงานหลายๆ project พร้อมกันมากกว่า Scrum
- เหมาะกับการทำงาน Maintain, Support ระบบแก้ bug ที่โผล่มาแบบปัจจุบันทันด่วนไปพร้อมๆ กับการพัฒนา feature มาก เพราะสามารถเปลี่ยนแปลงได้เกือบตลอดเวลา ไม่ต้องรอให้จบ sprint
- เหมาะกับทีมงานที่มี Specialist อยู่ในทีม และต้องการการ share resource จาก specialist คนนี้พร้อมๆ กัน โดยที่ไม่ทำให้ specialist คนนี้มีงาน overload เกินไป
- แน่นอน หากเป็นงาน backend, frontend แยกกันและไม่สามารถฝึกให้คนในทีมเขียนได้ทั้งสองอย่างพร้อมๆ กันได้ Kanban จะช่วยตรงจุดนี้ได้ในแง่การจัดการ flow เช่นงาน backend เสร็จแล้ว รอ frontend หยิบไปทำต่อ ในขณะที่ backend ก็ทำงานใหม่หลังจากส่งงานต่อให้ frontend แล้วทันที ทำให้ไม่มีการว่างงานเกิดขึ้น
- หากงานใหญ่ไม่สามารถซอยให้เล็กลงได้แล้วจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ Kanban เพราะไม่มี sprint เป็นตัวจำกัดอีกแล้ว
- เสริมสร้างความช่วยเหลือระหว่างคนในทีม เนื่องจากแค่มองบอร์ดจะรู้ทันทีว่าตอนนี้งานติดอยู่ที่ใครมากที่สุด (เป็น bottleneck ของ flow ในขณะนั้น) เพื่อนร่วมงานที่เหลือก็จะเข้าไปช่วยกัน เพื่อทำให้ bottleneck ของงานหายไปโดยเร็วที่สุด และสุดท้ายจะสามารถทำงานงาน flow ต่อไปได้ ทำให้งานโดยภาพรวมเสร็จสิ้นมากขึ้น
- ช่วยแก้ปัญหา “ทำงานโน่นนิด นี่หน่อย เยอะมาก แต่ไม่เสร็จซักกะงาน” ได้เป็นอย่างดี ด้วย WIP
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น